ความรู้เรื่องสี

1. สีคืออะไร
            สีโดยปกติแล้วจะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้อง และจะเกิดฟิล์มที่ผิวหน้าเมื่อแห้งโดยสัมผัสกับอากาศ หรือโดยการอบ สีนับเป็นส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับสิ่งก่อสร้าง อาคารบ้านเรือนต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์และอิทธิพลต่อสังคม และชีวิตประจำวันของมนุษย์ เพราะการเลือกสีต่าง ๆ กันก็เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความรู้สึกทางอารมณ์ของมนุษย์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นโดยไม่รู้ตัว

             หลายปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมสีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น ทำให้มีการใช้สีประเภทต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากเรานำเอาสีไปใช้สำหรับบ้านพักอาศัย อาคารสำนักงาน หรือ แม้แต่ศูนย์การค้า แล้วเรายังมีการนำไปใช้ในด้านอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้อีก

             ปัจจุบันมีโรงงานผลิตสีชนิดต่างๆ (ยกเว้นสีผสมอาหาร) เช่น สีพลาสติก  หรือสีอิมิลชั่น (emulsion paints),สีน้ำมัน (enamel paints),สีอลูมิเนียม,สีกันสนิม,สีกันเพรียง,สีจราจร และสีโป๊ว เป็นต้น แต่โรงงานส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็ก ส่วนโรงงานที่ผลิตสีได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของตลาด มีเพียงไม่กี่โรงงานเท่านั้น

            จากอดีตถึงปัจจุบัน มีการพัฒนาสีที่ใช้สำหรับการให้สีวัสดุต่าง ๆ เป็นอย่างมาก เดิมสีที่ใช้จะอิงสีย้อมสีทอเป็นหลัก ต่อมาจึงได้มีการพัฒนาสีกลุ่มใหม่ ๆ ที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับการให้สีวัสดุเฉพาะอย่างขึ้น ทำให้ขอบข่ายของสีมีให้เลือกขยายกว้างขวางออกไปมาก และสีที่ใช้มีสมบัติตรงกับความต้องการมากขึ้นทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่คุณภาพสูงตามไปด้วย

            ปัจจุบันกล่าวได้ว่า เรามีสีที่มีคุณภาพ และมีความคงทนดีกว่าสีที่ใช้ในสมัยก่อนมาก และเป็นที่เชื่อถือได้ว่าในอนาคตคงจะมีการพัฒนาสีรุ่นใหม่ๆ ที่มีคุณภาพสูงให้ใช้เพิ่มมากขึ้นอีกต่อไป
 2. องค์ประกอบของสี
            สีคือสารผสม (Mixture) ซึ่งประกอบด้วยสสารต่าง ๆ 4 กลุ่มด้วยกัน สำหรับการนำมาใช้เคลือบ (ด้วยกรรมวิธีหนึ่งวิธีใด) เพื่อประโยชน์ในการตกแต่ง หรือคุ้มครองป้องกัน หรือเพื่อทั้งตกแต่งและป้องกันวัตถุ หรือพื้นผิวที่ถูกเคลือบ 
สสารต่าง ๆ  4 กลุ่มดังกล่าวประกอบด้วย
  1. Binder (ตัวประสารหรือสิ่งนำสี) ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของของเหลวหรือสามารถทำให้แปรสภาพไปอยูในรูปของเหลวได้ ในสภาวะของสารละลาย (Solution),แขวนลอย (Suspension),หรือด้วยปฏิกิริยาเคมี
  2. Pigment (ผงสี) ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของแข็ง ไม่สามารถละลายในสารนำสี
  3. Diluent หรือ Sovent หรือ Thinner (ตัวทำละลาย)
  4. Additives (ตัวปรับสภาพ)
 3. ข้อกำหนดของสี
  1. ง่ายต่อการใช้ สีสามารถนำมาใช้งานได้เลยโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ และต้องแห้งเร็ว
  2. ช่วยเพิ่มความสวยงามให้พื้นผิว
  3. ช่วยเสริมสร้างโครงสร้างให้แข็งแรง
  4. ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น
  5. มีการยึดเกาะสูง และกันน้ำได้
 4. วัตถุประสงค์ของการใช้สี
ผลิตภัณฑ์สีที่มีการผลิตและนำมาใช้งานกันในปัจจุบันนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ
  1. ความสวยงามเป็นหลัก (Decorative Function) สีประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นสีทาอาคาร เพื่อการ ตกแต่งให้ดูสวยงาม และน่าอยู่อาศัย
  2. การปกป้องการผุกร่อนและการแปรสภาพพื้นผิว (Protective Function) สีประเภทนี้จะช่วยรักษาพื้นผิวจากเครื่องมือเครื่องใช้ เพื่อให้มีสภาพอายุการใช้งานยาวนาน เช่น กันความชื้น และกันแมลง
  3. ความสวยงามและการป้องกันพื้นผิว (Decorative and Protective Function) ตามความเป็นจริงวัตถุประสงค์ในการใช้ผลิตภัณฑ์สีควรจะอยู่ใน 2 ข้อนี้ แต่ก็จะขึ้นอยู่กับความสำคัญ
 5. การเตรียมชิ้นงานก่อนทำสี
            การขัด เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะถือว่าเป็นหัวใจของการทำสี ต้องทำอย่างถูกต้องคุณภาพของงานสีที่ออกมาจึงจะดูมีคุณภาพสูง การขัดที่ดีควรจะเริ่มต้นขัดด้วยกระดาษทรายตามเบอร์ดังนี้
            เบอร์ 100, เบอร์ 120, เบอร์ 150, เบอร์ 180, เบอร์ 240
            จะเห็นได้ว่าการขัดไม้ขั้นตอน 100-180 จะเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากเพราะแต่ละช่วงจะข้ามไม่เกิน 40 เบอร์ เพราะถือว่ากระดาษทรายแต่ละเบอร์จะขัดเสี้ยนของไม้ตามขนาดแต่ละเบอร์เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเสี้ยนไม้ที่หยาบแต่เราเอากระดาษทรายละเอียดไปขัดแทนที่มันจะตัดเสี้ยนได้ กลับกลายเป็นว่ากดเสี้ยนให้จมลงหรือดูดได้ว่า เอากระดาษถูไม้เฉย ๆ เสี้ยนที่อ่อนก็จะขาดเฉย ๆ แต่เสี้ยนใหญ่ก็ยังคงอยู่แล้วพอนำมาทำสีหรือหลังจากพ่นแลคเกอร์รองพื้นแล้ว จะทำให้ชั้นของฟิล์มแลคเกอร์ในชั้นนี้หลุดออกไปกับกระดาษทรายด้วย ทำให้เราเสียฟิล์มแลคเกอร์รองพื้นไปเปล่า ๆ ดังนั้น เราควรจะเก็บชิ้นงานด้วยการขัดไม้ให้ดีเสียก่อนแล้วค่อยมาทำสี และควรเลือกเบอร์กระดาษทรายที่ใช้อย่างเหมาะสม เพื่อประสิทธิภาพของงาน
 6. ฟิลเลอร์ (Filler)
            ฟิลเลอร์  หมายถึง สารที่ใช้อุดรูเล็ก ๆ โดยการใช้แปรง หรือโดยการพ่น เพื่อให้พื้นผิวที่จะเคลือบเรียบสม่ำเสมอ ฟิลเลอร์จะให้ฟิล์มที่แข็งแรง และสามารถถูหรือขัดออกเพื่อให้ผิวเรียบได้ง่าย นอกจากนี้ฟิล์มที่ได้ยังมีความยืดหยุ่น จึงเป็นการช่วยเสริมการยึดเกาะชั้นถัดไป
 7. สารกันซึม (Sealer)
            ใช้เคลือบผิวหน้าวัสดุที่มีรูพรุนสูง หรือใช้เคลือบวัสดุที่ปล่อยสารบางประเภทออกมา ซึ่งจะทำให้ฟิล์มของสีเสียหายได้ โดยทั่วไปแล้วจะใช้วิธีพ่นหรือใช้แปรง จึงควรให้มีค่า Viscosity (ความข้น) ต่ำ สารกันซึมมีหน้าที่
  • กรณีที่ใช้เคลือบไม้ จะช่วยป้องกันไม่ให้ความชื้นซึมผ่านผิวไม้
  • เสริมการยึดเกาะระหว่างสีชั้นถัดไปกับพื้นผิววัสดุ
  • ป้องกันไม่ให้เกิดรอยด่าง หรือรอยตำหนิ ที่จะเกิดหลังจากเคลือบสีชั้นถัดไป
  • ยึดเกาะกับพื้นวัสดุ
 8. ชนิดและคุณสมบัติของสีที่ใช้เคลือบผิว
1. Nitrocellulose Lacquer
            ไนโตรเซลลูโลสแลคเกอร์ จะให้ฟิล์มที่แข็ง ทนทานต่อการกัดกร่อน ทนน้ำ ด่างอ่อน และกรดอ่อน ซึ่งความแข็งและความทนทานต่อการกัดกร่อนของไนโตรเซลลูโลสนี้ มาจากหมู่ไนโตร ซึ่งมีไดโพลโมเมต์สูง(dipole moment) นอกจากนี้ยังเป็นผลมาจากหมู่ไฮดรอกซิล ซึ่งสามารถเกิดพันธะไฮโดรเจนระหว่างโซ่ได้ ไนโตรเซลลูโลสแลคเกอร์ไม่เหมาะสำหรับใช้ภายนอก เพราะสีจะเหลืองง่าย และมักติดไฟได้ง่าย
2. Polyurethane
            โพลียูเรเทน เกิดจากปฏิกิริยาระหว่าง โพลีไอโซไซยากับโพลีออล ฟิล์มที่ได้มีความแข็งและเหนียว,ทนต่อการขัดสีสูง,มีการยึดเกาะผิวหน้าดี,ทนต่อตัวทำลาย และทนต่อสภาพภูมิอากาศได้ดี
3. Acrylic lacquer
            อคริลิคแลคเกอร์ ทำจากอคริลิคเรซิน มีคุณสมบัติแห้งเร็ว ใช้ง่าย และมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ ทนต่อแสงแดดได้ดี ทำให้ฟิลม์ไม่เปลี่ยนสีหรือเหลืองขึ้น จึงนิยมใช้กับชิ้นงานพวกไม้มะปิง,ไม้ยางพาราที่ฟอกแล้ว หรือไม้เนื้อขาวทุกชนิด แต่ราคาค่อนข้างสูงกว่าแลคเกอร์จึงไม่ค่อยนิยมใช้กัน
4. Amino alkyd paint
            ยูเรียเรซิน เป็นสารเคลือบผิวซึ่ง (เป็นปฏิกิริยาระหว่างกรดกับอมิโนอัลคิด) ราคาไม่แพงนักเมื่อเทียบกันค่า % Solid ที่สูง,ค่า Hardness, การทนต่อการขูดขีดและทนต่อตัวทำละลาย แต่จะมีกลิ่นของ Formalin ค่อนข้างแรง และจะเกิดการกระเทาะ (รอยร้าว) ได้เมื่อนำมาอบหรือใส่ในตู้อบ ข้อเสียมีน้อยมาก ซึ่งสารเคลือบผิวชนดนี้ยังคงนิคมใช้กันมากในงานเฟอร์นิเจอร์
 เหตูผลในการเคลือบสีผิว
            วัตถุประสงค์ของการเคลือบสีผิวก็คือ การเพิ่มความสายงามตามธรรมชาติของไม้ให้ดูดีขึ้น กระบวนการนี้ทำให้ได้ไม้ที่มีสีตามต้องการ และช่วยป้องกันเนื้อไม้จากการใช้งานประจำวัน ตลอดจนสารละลายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้กันทั่วไป

            กระบวนการเคลือบสีผิวนี้ จะเน้นที่ลักษณะของแบบ เทคนิคการเคลือบสีผิวสมัยใหม่ ที่ช่วยทำให้ความงามที่แท้จริงของเนื้อไม้ปรากฏชัด นอกจากนี้ยังช่วยให้งานแบบเดียวกัน แต่มีสีต่าง ๆ กันอีกด้วย

            นอกจากนี้ การเคลือบสีผิวยังมีประโยชน์ต่อการใช้ไม้ที่มีราคาถูก โดยเคลือบสีผิวให้ดูดคล้ายไม้ที่มีราคาแพง

            การปกป้องเนื้อไม้จากตัวทำละลายต่าง ๆ เช่น น้ำ แนพธา (naptha) และอัลกอฮอล์ เป็นต้น เป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนี้สารที่ใช้ในการเคลือบสีผิว จะต้อทนทานต่อรอยขีดข่วน การขัดถู และสารปกป้องเนื้อไม้จากการเปลี่ยนแปลงความชื้นอย่างรวดเร็ว
 ประโยชน์ของกระบวนการเคลือบสีผิว
            การเคลือบสีผิวสมัยใหม่นี้ นอกจากจะให้ความสวยงามแก่เนื้อไม้และมีประโยชน์ในแง่ของการปกป้องเนื้อไม้แล้ว ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกได้แก่

            ความรวดเร็ว ในขณะที่โดยทั่วไป กระบวนการเคลือบสีผิวจะมีหลายขั้นตอน แต่จะใช้เวลาในการทำงานนั้นเพียงเสี้ยวหนึ่งของวิธีทำงานด้วยมือ

            พื้นที่ที่ใช้ในการทำงาน จากการทำงานที่รวดเร็วทำให้สามารถเคลือบสีผิวของชิ้นงาน(โดยเฉพาะเครื่องเรือน) ไม้มากกว่า ในพื้นที่ที่มีขนาดเท่ากันหรือในที่ที่มีขนาดเล็กกว่า

            ใช้แรงงานน้อยลง กระบวนการเคลือบสีผิวสมัยใหม่นี้ มีการใช้เครื่องมือกล การออกแบบอุปกรณ์และการผสมของสีเคลือบผิว ได้รับการปรับปรุง เพื่อให้มีการใช้แรงงานน้อยลง

            การควบคุมผลิตภัณฑ์และคุณภาพ ความคงที่สม่ำเสมอที่มีมากขึ้นของผลิตภัณฑ์และคุณภาพที่ได้รับการปรับปรุง จะประจักษ์ได้จากการที่มีการใช้ปัจจัยทางด้านบุคคลลดน้อยลง ด้วยการใช้อุปกรณ์ วัสดุและกระบวนการ ซึ่งโดยตัวของมันเองแล้ว สามารถควบคุมได้อย่างใกล้ชิด

            ในตอนแรกสำหรับผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับกระบวนการนี้ อาจจะรู้สึกว่าเป็นงานที่ใช้เวลา ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วจะเป็นระบบที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

            สำหรับกระบวนการเคลือบสีผิวสมัยใหม่นี้ จะมีการทำสีในหลายขั้นตอน ทำให้สามารถปรับแต่งสีได้ตลอดกระบวนการ การปรับแต่งนี้เป็นงานเล็ก ๆ น้อย ๆ จึงสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว ผลที่ได้รับก็คือ ชิ้นงานที่สวยงาม (โดยเฉพาะเครื่องเรือน) ซึ่งได้รับการเคลือบสีผิวที่สม่ำเสมอ


แหล่งที่มา : http://www.tai-yopaints.com/techcolor01_1.php

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น